[กฎหมายสมรสเท่าเทียม] ประเทศไทยปรับแก้กฎหมายสมรส ยกเลิกการใช้คำว่า “สามีภรรยา” และ “ชายหญิง” โดยปรับเปลี่ยนเป็น “คู่สมรส” และ “บุคคล” ด้านนักเคลื่อนไหว LGBTQ ระบุเป้าหมายขั้นต่อไปคือการผลักดันสิทธิในการเลือกเพศได้อย่างเสรี

สมาคมวัฒนธรรมเพศฮ่องกง / 21 ชั่วโมงที่ผ่านมา
Liang Haixin (นักวิจัยพิเศษประจำสมาคมวัฒนธรรมเพศฮ่องกง)

The below article is translated from a Chinese article:《【同性婚姻】泰國婚姻法刪除「夫妻」、「男女」字眼 改為「配偶」、「人」 LGBTQ運動人士:下一步爭取隨意選擇自己性別》

เมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2568 ประเทศไทยได้ประกาศบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมอย่างเป็นทางการ โดยสาระสำคัญของกฎหมายฉบับใหม่นี้ได้ยกเลิกการใช้คำที่สื่อถึงเพศสภาพในกฎหมายสมรส อาทิ “สามี” “ภรรยา” “ผู้ชาย” และ “ผู้หญิง” พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนให้ใช้คำที่มีความเป็นกลางทางเพศแทน เช่น “คู่สมรส” และ “บุคคล” [1] นอกจากนี้ กฎหมายฉบับดังกล่าวยังได้เพิ่มเติมสิทธิแก่คู่รักร่วมเพศในการรับบุตรบุญธรรมอีกด้วย ในด้านความเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคม คุณสิริรัฏฐ์ นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิ LGBTQ ได้แสดงทัศนะว่า “แม้วันนี้เราจะได้รับชัยชนะในระดับหนึ่ง แต่การต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมทางเพศอย่างครอบคลุมของพวกเรายังคงดำเนินต่อไป” โดยเธอได้ชี้ให้เห็นว่าเป้าหมายในขั้นต่อไปคือการผลักดันให้ทุกคนมีสิทธิในการเลือกและกำหนดเพศของตนเองได้อย่างอิสระ พร้อมทั้งเน้นย้ำว่าอัตลักษณ์ทางเพศนั้นควรอยู่เหนือข้อจำกัดทางชีววิทยา “ไม่ว่าจะเป็นเพศชาย เพศหญิง หรือนอนไบนารี ทุกคนพึงมีสิทธิในการนิยามตัวตนตามความปรารถนาของตน” [2]
ด้านนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ได้แสดงความคิดเห็นผ่านแพลตฟอร์ม X โดยระบุว่า “ด้วยพลังของทุกภาคส่วน การสมรสเท่าเทียมได้กลายเป็นจริงขึ้นมาแล้ว” และยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “นับจากวันนี้เป็นต้นไป สังคมของเราจะไม่มีการแบ่งแยกระหว่าง ‘ผู้ชาย’ และ ‘ผู้หญิง’ อีกต่อไป หากแต่จะเป็นการอยู่ร่วมกันระหว่าง ‘บุคคล’ และ ‘บุคคล’ ในฐานะ ‘คู่สมรส’ ที่มีความเท่าเทียมกัน ผมขอแสดงความยินดีกับความรักของทุกท่านด้วยความจริงใจ” [3]

บทความนี้จะนำเสนอการวิเคราะห์ใน 3 ประเด็นสำคัญ ต่อไปนี้
1. ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการยกเลิกการใช้คำว่า “สามี” “ภรรยา” “ผู้ชาย” และ “ผู้หญิง” ในกฎหมายสมรส
2. เหตุใดการ “มอบอำนาจความสัมพันธ์ใกล้ชิด” จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการสมรสเพศเดียวกัน
3. เหตุใดประเทศไทยจึงผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม และเหตุใดผู้เชี่ยวชาญจึงเชื่อว่าไทยอาจเป็นประเทศสุดท้ายในเอเชียที่ผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม

1. ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการยกเลิกการใช้คำว่า “สามี” “ภรรยา” “ผู้ชาย” และ “ผู้หญิง” ในกฎหมายสมรส
ตามหลักการของผู้เรียกร้องสิทธิการสมรสเพศเท่าเทียมนั้น มีแนวคิดว่า หากคู่รักต่างเพศที่รักกันสามารถแต่งงานได้ คู่รักร่วมเพศที่รักกันก็ควรมีสิทธิแต่งงานได้เช่นกัน และบุคคลทุกเพศสภาพที่มีความรักต่อกันก็ควรได้รับสิทธิในการแต่งงาน นั่นจึงจะถือว่าเกิดความเท่าเทียมอย่างแท้จริง ภายใต้มุมมองเช่นนี้ การสมรสจึงถูกตีความว่าเป็นเพียงเรื่องของความรักระหว่างผู้ใหญ่ ดังนั้น การใช้คำว่า “สามี” “ภรรยา” “ผู้ชาย” และ “ผู้หญิง” ในกฎหมายสมรสจึงกลายเป็นสิ่งไร้ความหมาย อีกทั้งยังถูกมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ
คุณอาร์มกับคุณพอร์ช นักแสดงชายชาวไทยได้จดทะเบียนสมรสกัน เมื่อวันที่ 23 มกราคม และได้โพสต์ข้อความผ่านอินสตาแกรมว่า “สุดท้าย ความรักก็ชนะ! วันนี้เป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ ในที่สุดเราก็สามารถรัก ถูกรัก และสร้างครอบครัวในแบบของเราได้แล้ว” [4]
ด้านคุณพอร์ชได้กล่าวเสริมว่า “พวกเราสามารถสร้างครอบครัวในแบบฉบับของเราเองได้ เพราะผมเชื่อว่าความรักและครอบครัวในทุกรูปแบบล้วนงดงามครับ” [5]
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ได้แถลงการณ์ว่า “ต่อจากนี้ ทุกความรักของคนไทย จะถูกรับรองทางกฎหมาย ทุกคู่จะมีชีวิตอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี บนผืนแผ่นดินไทย” [6]
ในระหว่างร่วมงานเฉลิมฉลอง นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ความรักไม่มีขอบเขตและไม่ควรมีการเลือกปฏิบัติ ไม่ว่าคุณจะมีเพศสภาพใดหรือรักใคร ทุกคนจะได้รับความคุ้มครองภายใต้กฎหมายเดียวกัน” [7]
หากความรักของผู้ใหญ่คือเงื่อนไขที่เพียงพอสำหรับการสมรส เราจะมีเหตุผลใดในการปฏิเสธการสมรสของใครหลายคน? ละการที่เราไม่อนุญาตใครหลายคนสมรส จะถือเป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่?

การสมรสระหว่างชายหญิงมิได้มีไว้เพียงเพื่อความรักของผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ยังเพื่อสวัสดิภาพของสังคมและสิทธิของเด็กด้วย

กฎหมายสมรสแต่เดิมนั้นกำหนดไว้สำหรับการผูกพันระหว่างชายและหญิง ซึ่งเป็นหลักการที่ใช้กันมาทั้งในอดีตและปัจจุบันทั่วโลก แล้วเหตุใดรัฐจึงต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับความรักระหว่างบุคคล? การทำให้การสมรสเป็นระบบสถาบันนั้นมีประโยชน์ต่อสังคมอย่างไร?

เบอร์แทรนด์ รัสเซล(Bertrand Russell) นักปรัชญาผู้ได้รับรางวัลโนเบล เคยกล่าวไว้ว่า “เนื่องจากมีโอกาสที่จะมีบุตร ความสัมพันธ์ทางเพศเช่นนั้นจึงมีความสำคัญต่อสังคมและสมควรได้รับการรับรองทางกฎหมาย” [8]
ในเอกสารทางกฎหมายที่คัดค้านการสมรสเพศเดียวกันของรัฐแอริโซนาในปี 2557 ได้ระบุว่า “จุดประสงค์หลักของการที่รัฐควบคุมดูแลการสมรสคือ การชี้นำให้ความสัมพันธ์ทางเพศที่มีศักยภาพในการให้กำเนิดบุตร (potentially procreative) นำไปสู่การผูกพันอย่างถาวร เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับบิดามารดาผู้ให้กำเนิด… คู่รักร่วมเพศไม่สามารถมอบความสัมพันธ์ระหว่างมารดาและบิดาผู้ให้กำเนิดแก่เด็กได้” [9]
ศาสตราจารย์มาร์กาเร็ต ซัมเมอร์วิลล์ (Margaret Somerville) นักจริยศาสตร์ชาวออสเตรเลีย ได้อธิบายในบทความ “การคัดค้านการสมรสเพศเดียวกัน” (The Case Against Same-Sex Marriage) ว่า เธอคัดค้านการสมรสเพศเดียวกันเนื่องจากแก่นแท้ของการสมรสคือการทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงที่มีศักยภาพในการให้กำเนิดบุตรเป็นระบบสถาบัน เป็นสัญลักษณ์ และได้รับการคุ้มครอง ซึ่งเป็นการปกป้องสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของเด็กในการเติบโตในครอบครัวที่มีบิดามารดาผู้ให้กำเนิดเป็นผู้เลี้ยงดู หลักจริยธรรมควรให้ความสำคัญกับสิทธิของเด็กมากกว่าสิทธิของคู่รักร่วมเพศ เนื่องจากเด็กเป็นกลุ่มที่เปราะบางกว่า เราควรปกป้องผู้ที่อ่อนแอที่สุดในสังคม และไม่ควรใช้พวกเขาเป็นหนูทดลองทางสังคม [10]
การรวมการสมรสเพศเดียวกันเข้าไว้ในกฎหมายเท่ากับเป็นการปรับเปลี่ยนนิยามของการสมรส โดยยกเลิกการใช้คำว่า “สามี” “ภรรยา” “ผู้ชาย” และ “ผู้หญิง” พร้อมทั้งอนุญาตให้คู่รักร่วมเพศรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับการแบ่งแยกระหว่าง “บทบาทความเป็นพ่อ” และ “บทบาทความเป็นแม่” ทั้งนี้ จากกรณีศึกษาในต่างประเทศ ขั้นตอนต่อไปคือการยกเลิกคำว่า “พ่อ” และ “แม่” ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของเด็ก
ริค แซนทอรัม (Rick Santorum) นักการเมืองชาวอเมริกัน ได้เล่าประสบการณ์ตรงในระหว่างให้สัมภาษณ์ว่า “แม่และพ่อมอบสิ่งที่แตกต่างกันให้กับลูก ผมมีลูกหกคน ผมรู้ว่าแม่สองคนไม่สามารถทดแทนสิ่งที่พ่อและแม่สามารถมอบให้ลูกได้ ยกตัวอย่างเช่น การที่ลูกสาวของผมมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ชาย ในหลายๆ ด้านนั้น เป็นผลมาจากการมีปฏิสัมพันธ์กับผม มีหลักฐานมากมายที่แสดงให้เห็นว่าหากเด็กผู้หญิงไม่มีพ่อ จะส่งผลต่อการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ชายเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่” ประสบการณ์ของแซนทอรัมได้รับการสนับสนุนจากงานวิจัยที่พบว่า พ่อมีบทบาทสำคัญในการจัดการพฤติกรรมและวินัยของลูกชาย รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ของวัยรุ่น นอกจากนี้ งานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่าเด็กผู้หญิงที่ไม่มีพ่อมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่วัยหนุ่มสาวเร็วเกินไปและมีความเสี่ยงสูงในการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร ในขณะที่การสมรสที่มั่นคงของพ่อแม่จะช่วยให้ลูกสาววัยรุ่นเลือกคู่ครองได้ดีขึ้น และมีความมั่นใจในการปฏิเสธการชักจูงทางเพศจากแฟนหนุ่ม [11]

แม้คู่สมรสต่างเพศจะไม่มีบุตร ก็ไม่จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายสมรส
นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิ LGBTQ อาจโต้แย้งว่าคู่สมรสต่างเพศบางคู่ก็ไม่มีบุตร อย่างไรก็ตาม การที่คู่สมรสต่างเพศไม่มีบุตรนั้นไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้การสมรสเพศเดียวกันถูกต้องตามกฎหมาย เพราะแม้คู่สมรสต่างเพศจะไม่มีบุตร แต่ก็ไม่ได้ลบล้างบรรทัดฐาน ค่านิยม และความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่การสมรสต่างเพศมอบให้แก่สังคม นั่นคือการปกป้องสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของเด็กให้ได้เติบโตในครอบครัวตามธรรมชาติและได้รับการเลี้ยงดูจากบิดามารดาผู้ให้กำเนิด แต่การสมรสเพศเดียวกันกลับปฏิเสธความจำเป็นที่เด็กต้องมีทั้งพ่อและแม่ โดยเห็นได้ชัดว่าเป็นการยกความปรารถนาของผู้ใหญ่ให้อยู่เหนือสิทธิของเด็ก
ในประเทศแคนาดา ได้มีการเปลี่ยนแปลงใบสูติบัตรจากเดิมที่ระบุ “บิดา” และ “มารดา” เป็น “ผู้ปกครองคนที่หนึ่ง” และ “ผู้ปกครองคนที่สอง” นอกจากนี้ ศาลอุทธรณ์แห่งรัฐออนแทรีโอยังมีคำตัดสินให้เด็กสามารถมีผู้ปกครองตามกฎหมายได้สามคน ได้แก่ มารดาผู้ให้กำเนิด คู่ชีวิตหญิงของมารดา และบิดาของเด็ก (ผู้บริจาคอสุจิที่เป็นชายรักร่วมเพศ) [12]

การหวนคืนสู่เจตนารมณ์ดั้งเดิมของการสมรส คือ เด็กต้องมาก่อนผู้ใหญ่
แต่เดิมนั้น การสมรสมีความหมายถึงการผูกพันตลอดชีวิตระหว่างชายหนึ่งคนและหญิงหนึ่งคน โดยไม่แยกจากกัน ทั้งนี้เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างพ่อแม่และลูก ซึ่งผู้ที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดคือเด็ก แม้คู่สมรสจะไม่มีบุตร แต่รูปแบบการสมรสต่างเพศนี้ก็ยังคงส่งสารไปยังสังคมว่า เราให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของเด็ก และพยายามทุกวิถีทางที่จะให้เด็กได้เติบโตมาพร้อมกับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด การสมรสจึงมีไว้เพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของเด็ก ตามที่ศาสตราจารย์ซัมเมอร์วิลล์กล่าวไว้ ความต้องการและสิทธิของเด็กควรได้รับการพิจารณาเป็นอันดับแรก เด็กต้องมาก่อน ผู้ใหญ่ [13]
เมื่อเด็กถูกพรากจากพ่อหรือแม่ พวกเขาไม่เพียงสูญเสียผู้ปกครองฝ่ายหนึ่งเท่านั้น แต่ยังสูญเสียความสัมพันธ์กับครอบครัวอีกฝ่ายหนึ่งด้วย ตามที่ระบุในหนังสือ “พวกเขาต้องมาก่อนพวกเรา” (Them Before Us) ในโลกตะวันตกมีเด็กจำนวนไม่น้อยที่เติบโตมากับคู่รักร่วมเพศ (รุ่นที่สอง) ซึ่งประสบกับภาวะสับสนทางสายตระกูล (genealogical wilderment) และต้องทนทุกข์กับความรู้สึก “หิวโหยความรักจากแม่” (mother hunger) หรือ “หิวโหยความรักจากพ่อ” (father hunger) [14]
“เด็กต้องการความรักจากพ่อ” นายแพทย์ไคล์ พรูเอตต์ (Kyle Pruett) จากศูนย์ศึกษาเด็กแห่งมหาวิทยาลัยเยล (Yale Child Study Center) พบว่าเด็กที่เกิดจากการบริจาคอสุจิหรือการปฏิสนธินอกร่างกาย (IVF) มักจะถามแม่ที่เป็นเลสเบี้ยนหรือแม่เลี้ยงเดี่ยวว่าพ่อของพวกเขาอยู่ที่ไหน พวกเขาถามว่า “แม่ครับ/คะ แม่ทำอะไรกับพ่อของหนู?” “หนูเขียนจดหมายถึงพ่อได้ไหม?” “พ่อเคยเห็นหนูไหม?” “แม่ชอบพ่อไหม?แล้วพ่อชอบหนูไหม?” [15]
ความรักจากแม่ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน งานวิจัยพบว่าแม่สามารถมอบความรู้สึกมั่นคงทางอารมณ์ให้แก่ลูกได้มากกว่า และมีความละเอียดอ่อนในการสังเกตปฏิกิริยาทางร่างกายและจิตใจของทารกมากกว่า นอกจากนี้ แม่ยังสามารถให้การปลอบประโลมที่พิเศษแก่ลูกสาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายทั้งทางร่างกายและจิตใจในช่วงวัยรุ่น [16]
พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดมีความเต็มใจที่จะทุ่มเทให้กับลูกมากกว่าใครๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเวลา เงินทอง หรือความต้องการด้านต่างๆ พวกเขาคือผู้ใหญ่ที่เต็มใจจะเสียสละเพื่อลูกมากที่สุด และมีแนวโน้มที่จะกระทำการทารุณกรรมหรือใช้ความรุนแรงต่อเด็กน้อยที่สุด [17]

ผลกระทบที่เกินคาดของการสมรสเพศเดียวกัน: เสรีภาพทางมโนธรรม เสรีภาพทางศาสนา และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
การทำให้การสมรสเท่าเทียมเป็นระบบสถาบันไม่ได้เป็นเพียงการให้สิทธิแก่คู่รักร่วมเพศเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการเรียกร้องให้สังคมทั้งหมดยอมรับความสัมพันธ์รักร่วมเพศ รวมถึงการยอมรับการไม่แบ่งแยกระหว่าง “สามี” และ “ภรรยา” หรือแม้แต่ระหว่าง “พ่อ” และ “แม่” โดยไม่เปิดโอกาสให้มีเสียงคัดค้านใดๆ สิ่งนี้ก่อให้เกิดปัญหาการเลือกปฏิบัติย้อนกลับ (reverse discrimination) ซึ่งละเมิดเสรีภาพทางมโนธรรม เสรีภาพทางศาสนา เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และเสรีภาพทางการศึกษาของผู้คน
จากบทความของศาสตราจารย์ซัมเมอร์วิลล์ได้ยกตัวอย่างกรณีต่างๆ ดังนี้ [18]
– เคยมีครูและนักเขียนถูกฟ้องร้องเพราะตั้งคำถามต่อจริยธรรมของการรักร่วมเพศ
– เคยมีโบสถ์ถูกฟ้องร้องเพราะปฏิเสธการให้ใช้สถานที่จัดพิธีสมรสเพศเดียวกัน
– เคยมีครูอนุบาลถูกฟ้องร้องเพราะไม่รวมหนังสือเกี่ยวกับครอบครัวเพศเดียวกันในรายการหนังสือเรียน
– แจ็ค ฟิลลิปส์ (Jack Phillips) ช่างทำขนมเค้กถูกฟ้องร้องและต้องต่อสู้คดีหลายปีเพราะไม่ต้องการทำเค้กแต่งงานให้คู่รักร่วมเพศ [19] แม้ในที่สุดเขาจะชนะคดี แต่ต่อมาก็ยังต้องเผชิญกับคดีความอีกครั้งในประเด็นเกี่ยวกับเค้กสำหรับผู้มีความหลากหลายทางเพศ [20]
การทำให้การสมรสเท่าเทียมเป็นระบบสถาบันไม่เพียงทำให้การสมรสเบี่ยงเบนไปจากเจตนารมณ์ดั้งเดิมในการปกป้องสิทธิของเด็ก และกลายเป็นเครื่องมือตอบสนองความปรารถนาของผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงค่านิยมและความคิดของสังคมทั้งหมด โดยบังคับให้ทุกคนต้องยอมรับความสัมพันธ์รักร่วมเพศ

2. เหตุใดการ “มอบอำนาจความสัมพันธ์ใกล้ชิด” จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการสมรสเพศเดียวกัน?
นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิ LGBTQ เชื่อว่า มีเพียงการทำให้การสมรสเพศเดียวกันถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้นที่จะสามารถคุ้มครองสิทธิของคู่รักร่วมเพศได้ ซึ่งครอบคลุมทั้งสิทธิและความรับผิดชอบในด้านการรักษาพยาบาล การจัดการทรัพย์สินร่วมกัน ภาษี สิทธิในการรับมรดก และสวัสดิการสำหรับทายาท อย่างไรก็ตาม การบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวไม่จำเป็นต้องผ่านการสมรสเพศเดียวกัน เนื่องจากการปรับเปลี่ยนนิยามของการสมรสนั้นส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง เราจึงเห็นว่า “การมอบอำนาจความสัมพันธ์ใกล้ชิด” เป็นทางเลือกที่ดีกว่าการสมรสเพศเดียวกัน [21]
เนื่องจาก “การมอบอำนาจความสัมพันธ์ใกล้ชิด” ไม่มีข้อจำกัดด้านจำนวนบุคคลและสถานภาพการสมรส จึงไม่เพียงแต่สามารถแก้ปัญหาการมอบอำนาจต่างๆ ข้างต้นได้เท่านั้น แต่ผู้ที่จะได้รับประโยชน์ยังไม่จำกัดเฉพาะคู่รักร่วมเพศ โดยสามารถอำนวยความสะดวกให้แก่บุคคลโสดทุกคนที่ไม่ได้อยู่ในความสัมพันธ์แบบการสมรส ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นว่ารัฐบาลควรเร่งดำเนินการออกกฎหมายในด้านนี้ [22]

3. เหตุใดประเทศไทยจึงผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม? และเหตุใดผู้เชี่ยวชาญจึงเชื่อว่าไทยอาจเป็นประเทศสุดท้ายในเอเชียที่ผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม?
จากการรวบรวมรายงานต่างๆ การที่ประเทศไทยผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมอาจมีสาเหตุมาจากปัจจัย 4 ประการ ดังนี้
1) ปัจจัยทางการเมือง: มีรายงานระบุว่า ประชาชนไทยปรารถนาการเปลี่ยนแปลง จึงสนับสนุนพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคการเมืองฝ่ายปฏิรูปที่มีสมาชิกรุ่นใหม่ โดยพรรคนี้ได้รับชัยชนะเป็นพรรคอันดับหนึ่งในการเลือกตั้งปี พ.ศ.2566 เมื่อพรรคก้าวไกลผลักดันการรับรองการสมรสเท่าเทียมอย่างเต็มที่ ประกอบกับบรรยากาศทางการเมืองที่เอื้ออำนวย จึงทำให้รัฐสภาไทยสามารถผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมโดยง่าย [23]
2) ปัจจัยทางศาสนา: ประชากรไทยร้อยละ 90 นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งไม่ได้มีจุดยืนที่ต่อต้านการรักเพศเดียวกันอย่างชัดเจนเหมือนศาสนาอิสลามหรือศาสนาคริสต์ โดยมีรายงานระบุว่าพุทธศาสนาไม่ได้ห้ามวิถีชีวิตแบบ LGBT ในมุมมองของพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นรักต่างเพศหรือรักร่วมเพศ ต่างก็มีต้นตอมาจาก “ความยึดติด” ที่เกิดจาก “ความไม่รู้” ซึ่งถ่วงรั้งมนุษย์จากการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร จึงไม่มีการแบ่งแยกว่าสูงต่ำกว่ากัน [24]
3) ปัจจัยทางวัฒนธรรม: สื่อบันเทิงไทยมีบทบาทสำคัญในการหล่อหลอมทัศนคติของสังคมที่มีต่อความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งละครโทรทัศน์ที่นำเสนอตัวละคร LGBTQ ในฐานะตัวละครหลัก ทำให้ผู้ชมคุ้นชินและยอมรับความหลากหลายทางเพศมากขึ้น ที่โดดเด่นที่สุดคือปรากฏการณ์ “ซีรีส์วาย” หรือละครโรแมนติกที่นำเสนอความรักระหว่างชายหนุ่ม ซึ่งได้รับความนิยมอย่างถล่มทลายในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ซีรีส์วายไทยได้รับการส่งออกไปทั่วโลกและสร้างฐานแฟนคลับขนาดใหญ่ในหลายประเทศทั่วเอเชีย นอกจากนี้ อุปนิสัย “สบายๆ” ของคนไทยที่มักพูดติดปากว่า “ไม่เป็นไร” ยังสะท้อนถึงความยืดหยุ่นและการเปิดใจยอมรับความแตกต่าง ประกอบกับการที่แนวคิดและวิถีชีวิต LGBTQ ได้หยั่งรากลึกในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน จึงทำให้สังคมไทยมีความพร้อมในการยอมรับความเท่าเทียมทางเพศมากกว่าหลายประเทศในภูมิภาค [25]
4) ปัจจัยทางเศรษฐกิจ: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยระบุว่ากลุ่ม LGBTQ เป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เนื่องจากมีการใช้จ่ายเฉลี่ยสูงกว่านักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นถึงร้อยละ 40 [26] การผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมจึงเป็นโอกาสทองที่ทำให้ทั้งภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจจัดงานแต่งงานต่างเตรียมพร้อมรับมือกับกระแสความต้องการที่จะเพิ่มขึ้น โดยหวังดึงดูดกลุ่ม LGBTQ ให้เลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายในการจัดงานแต่งงาน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงานในท้องถิ่นให้คึกคักยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังคาดหวังว่ากฎหมายใหม่จะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ด้านความเท่าเทียมและการยอมรับความหลากหลายของประเทศไทย ซึ่งจะดึงดูดนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะกลุ่ม LGBTQ ให้เดินทางมาเยือนมากขึ้น อันจะนำมาซึ่งรายได้มหาศาลให้กับประเทศ [27]

เหตุใดผู้เชี่ยวชาญจึงมองว่าไทยอาจเป็นประเทศสุดท้ายในเอเชียที่ผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม?
หลังจากไต้หวันและเนปาล ประเทศไทยได้ก้าวขึ้นเป็นเขตปกครองแห่งที่สามในเอเชียที่ผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้มิได้หมายความว่าขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิความหลากหลายทางเพศจะมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องและไม่อาจต้านทานได้ หรือเขตปกครองอื่นๆ ในเอเชียจะต้องผ่านกฎหมายลักษณะเดียวกันนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
มีรายงานระบุว่า ผู้เชี่ยวชาญมองว่าประเทศไทยอาจเป็นประเทศสุดท้ายในเอเชียที่สามารถผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม เนื่องจากประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ล้วนมีรากฐานทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งแตกต่างจากบริบทของสังคมไทย [28]
รายงานชี้ให้เห็นว่า “ประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของไทย อาทิ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ล้วนมีแนวทางอนุรักษ์นิยมและมีประชากรที่นับถือศาสนาอิสลามเป็นจำนวนมาก เมื่อมองไปยังประเทศที่อยู่ห่างออกไปอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ก็พบว่ามีฝ่ายอนุรักษ์นิยมเป็นผู้นำทางการเมือง ส่วนฟิลิปปินส์ก็เป็นฐานที่มั่นของศาสนาคาทอลิก” [29] ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องยากที่ประเทศเหล่านี้จะผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมเหมือนกับไทย
ยิ่งไปกว่านั้น ในบางประเทศอย่างมาเลเซีย เมียนมา บรูไน และเขตปกครองพิเศษอาเจะห์ของอินโดนีเซีย ยังถือว่าพฤติกรรมรักร่วมเพศเป็นความผิดทางอาญา [30]

กระแส LGBTQ จะยังคงแผ่ขยายต่อไป หรือสถานการณ์กำลังเปลี่ยนทิศทาง?
ในช่วงที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้ในประเทศไทย อดีตนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสินได้แสดงความเห็นเป็นนัยถึงประธานาธิบดีทรัมป์ว่าขาดความเปิดกว้าง เนื่องจากยอมรับเพียงเพศชายและเพศหญิงเท่านั้น
โดยได้กล่าวว่า “เมื่อไม่นานมานี้ ผู้นำประเทศหนึ่งได้กล่าวว่ามีเพียงสองเพศเท่านั้น แต่ผมเชื่อว่าประเทศของเรามีมุมมองที่เปิดกว้างกว่า” [31]
แล้วใครกันแน่ที่กำลังก้าวไปข้างหน้า และใครที่กำลังถอยหลัง? ในอดีตที่ไม่ไกลนัก สหรัฐอเมริกาก็เคยยอมรับความหลากหลายทางเพศ ถึงขั้นออกหนังสือเดินทางที่ระบุเพศ “X” มิใช่หรือ? หากพูดถึงความ “เปิดกว้าง” นโยบาย DEI ที่เน้นความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการยอมรับ ก็เคยแพร่หลายในสหรัฐอเมริกามาหลายปี แต่ปัญหาที่เกิดจากนโยบายดังกล่าวกลับเริ่มปรากฏชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ [32]
นอกจากนี้ แม้สหรัฐอเมริกาจะเป็นประเทศที่รับรองการสมรสเท่าเทียมมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 เมื่อศาลสูงมีคำวินิจฉัยว่าการสมรสเพศเดียวกันสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ แต่ล่าสุดสมาชิกสภานิติบัญญัติของรัฐไอดาโฮได้เสนอญัตติเพื่อล้มล้างคำวินิจฉัยดังกล่าว [33] หากคำวินิจฉัยนี้ถูกล้มล้าง จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกระแสทางวัฒนธรรมในระดับโลกหรือไม่?
นอกจากนี้ แม้สหรัฐอเมริกาจะเป็นหนึ่งในประเทศที่รับรองการสมรสเท่าเทียม โดยมีคำวินิจฉัยจากศาลสูงตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 ว่าการสมรสเพศเดียวกันชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อไม่นานมานี้กลับมีความเคลื่อนไหวจากสมาชิกสภานิติบัญญัติรัฐไอดาโฮที่พยายามผลักดันให้มีการทบทวนและล้มล้างคำวินิจฉัยดังกล่าว [33] หากคำวินิจฉัยนี้ถูกล้มล้าง จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกระแสทางวัฒนธรรมทั่วโลกหรือไม่?

[8] Should Gay Marriage Be Legal?

n91 引用Ross Douthat, “Marriage, Procreation and Historical Amnesia,” nytimes.com Apr. 2, 2013
[9] Should Gay Marriage Be Legal?

n98 引用Meredith Clark, “Arizona Points to Procreation to Defend Gay Marriage Ban,” msnbc.com, July 25, 2014
[10] The Case Against Same-Sex Marriage(p.5)

[11] An Argument Against Same-Sex Marriage: An Interview with Rick Santorum

[12] The Case Against Same-Sex Marriage (p.7)

[13] The Case Against Same-Sex Marriage (p.3)

[14] Katy Faust & Stacy Manning. Them before Us: Why We Need a Global Children’s Rights Movement. Post Hill Press, 2021. ISBN 978-1-6429-3596-7, 304 pages.
[15] Ten Arguments From Social Science Against Same-Sex Marriage

[16] 同上
[17] 同上。以及 Katy Faust & Stacy Manning. Them before Us: Why We Need a Global Children’s Rights Movement. Post Hill Press, 2021. ISBN 978-1-6429-3596-7, 304 pages.
[18] The Case Against Same-Sex Marriage (p.12)

[30] ‘I am so proud’: Joy as Thailand’s same-sex couples can marry at last

 

發表迴響