[กฎหมายสมรสเท่าเทียม] ประเทศไทยปรับแก้กฎหมายสมรส ยกเลิกการใช้คำว่า “สามีภรรยา” และ “ชายหญิง” โดยปรับเปลี่ยนเป็น “คู่สมรส” และ “บุคคล” ด้านนักเคลื่อนไหว LGBTQ ระบุเป้าหมายขั้นต่อไปคือการผลักดันสิทธิในการเลือกเพศได้อย่างเสรี

The below article is translated from a Chinese article:《【同性婚姻】泰國婚姻法刪除「夫妻」、「男女」字眼 改為「配偶」、「人」 LGBTQ運動人士:下一步爭取隨意選擇自己性別》

เมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2568 ประเทศไทยได้ประกาศบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมอย่างเป็นทางการ โดยสาระสำคัญของกฎหมายฉบับใหม่นี้ได้ยกเลิกการใช้คำที่สื่อถึงเพศสภาพในกฎหมายสมรส อาทิ “สามี” “ภรรยา” “ผู้ชาย” และ “ผู้หญิง” พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนให้ใช้คำที่มีความเป็นกลางทางเพศแทน เช่น “คู่สมรส” และ “บุคคล” [1] นอกจากนี้ กฎหมายฉบับดังกล่าวยังได้เพิ่มเติมสิทธิแก่คู่รักร่วมเพศในการรับบุตรบุญธรรมอีกด้วย ในด้านความเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคม คุณสิริรัฏฐ์ นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิ LGBTQ ได้แสดงทัศนะว่า “แม้วันนี้เราจะได้รับชัยชนะในระดับหนึ่ง แต่การต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมทางเพศอย่างครอบคลุมของพวกเรายังคงดำเนินต่อไป” โดยเธอได้ชี้ให้เห็นว่าเป้าหมายในขั้นต่อไปคือการผลักดันให้ทุกคนมีสิทธิในการเลือกและกำหนดเพศของตนเองได้อย่างอิสระ พร้อมทั้งเน้นย้ำว่าอัตลักษณ์ทางเพศนั้นควรอยู่เหนือข้อจำกัดทางชีววิทยา “ไม่ว่าจะเป็นเพศชาย เพศหญิง หรือนอนไบนารี ทุกคนพึงมีสิทธิในการนิยามตัวตนตามความปรารถนาของตน” [2]

“การแต่งงานของคนอื่นมีผลกระทบต่อคุณหรือไม่ ?” – เหยื่อ 5 กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการสมรสเพศเดียวกัน

ในศตวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากการสมรสเพศเดียวกันไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ระวางนักการเมืองอภิปรายเรื่องการเปลี่ยนแปลงคำกำจัดความของคำว่า “การสมรส” หรือไม่ มักใช้ข้อโต้แย้งและการอภิปรายที่มักเป็นแค่จินตนาการ ผู้ที่สนับสนุนการรักษาคำกำจัดความดั้งเดิมของครอบครัวและการสมรสได้เสนอข้อโต้แย้งและคำเตือนหลากหลาย ซึ่งในเวลานั้นดูเหมือนจะเป็นแค่ทฤษฎีเชิงนามธรรม ไม่อาจเทียบได้กับคำถามเรียบง่ายจากกลุ่ม LGBTQ+ ที่ว่า “การแต่งงานของคนอื่นเกี่ยวอะไรกับคุณ ? มีผลกระทบต่อคุณหรือไม่ ?”

เพิ่มการสิทธิประโยชน์ของLGBT สุขภาพจิตของพวกเขาเปลี่ยนดีขึ้นมากแค่ไหน ซึ่งผลลัพธ์น่าตกใจ

30 ปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าไม่มีใครเห็นแย้งเกี่ยวกับการรักร่วมเพศจากในยุคก่อนสหัสวรรษนั้น การรักร่วมเพศยังต้องห้ามในสังคมสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็นละครหรือรายการวาไรตี้ต่างๆ มีการผลักดันการรักร่วมเพศมากขึ้น เรื่องนี้คิดไม่ถึงจากเมื่อ 20 ปีที่แล้ว